
12
Nov
จีน
ทิเบต ทัวร์ทิเบต เที่ยวทิเบต รถไฟทิเบต ทัวร์จีนเจาะลึก
เขตปกครองตนเองทิเบต (ทิเบต:བོད་- โบด์; จีน: 西藏 ซีจ้าง) ชาวทิเบตมีเชื้อสายมาจากชาวอินเดีย มีพระเป็นผู้นำของเขตปกครองพิเศษนี้ นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน คล้ายกับประเทศภูฏาน ทิเบตตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย เป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลก จนได้รับฉายาว่า หลังคาโลก ทิเบตมีอากาศที่หนาวเย็นและมีความกดอากาศและอ๊อกซิเจนต่ำ พลเมืองชายของทิเบตกว่าครึ่งบวชเป็นพระ ก่อนจีนจะยึดครองทิเบต ทิเบตมีสามเณริกามากที่สุดในโลก ในทิเบตเคยมีคัมภีร์มากมาย พลเมืองนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด จนได้รับฉายาว่า "แดนแห่งพระธรรม" (land of dharma) ทิเบต ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตปกครองตนเองชินเจียงอุยกูร์และมณฑลชิงไห่ (ประเทศจีน) ทิศใต้ ติดต่อกับ ประเทศเนปาล ประเทศภูฏาน มณฑลยูนนาน (ประเทศจีน) รัฐอัสสัม รัฐนาคาแลนด์ (ประเทศอินเดีย) ในปัจจุบัน บริเวณที่มีเขตติดต่อกับประเทศอินเดียนี้ ยังเป็นบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่างจีนและอินเดีย ซึ่งอินเดียได้อ้างกรรมสิทธิ์เข้ามาปกครอง และเรียกดินแดนบริเวณนี้ว่า อรุณาจัลประเทศ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ มณฑลเสฉวน (ประเทศจีน) ทิศตะวันตก ติดต่อกับ รัฐชัมมูและแคชเมียร์ (ประเทศอินเดีย) และประเทศปากีสถาน
นครลาซา 拉薩
นครลาซา 拉薩บ้างถูกเรียกในภาษาจีนกว่า เฉิงกวน เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดว่าเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองในที่ราบสูงทิเบต รองจากเมืองซีหนิง และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,490 เมตร (11,450 ฟุต) ทำให้ลาซ่ากลายเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่สูงที่สุดของโลก ในเมืองประกอบไปด้วยหลายวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะศาสนสถานของศาสนาพุทธ-ทิเบต เช่นพระราชวังโปตาลา หรือ วัดโจคัง หรือ พระราชวังโนร์บูกลิงกา เป็นต้น
นครลาซา เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 1,300 ปี เชื่อกันว่าบรรพบุรุษชาวทิเบตเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในเขตเอเชียกลาง ที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามา กษัตริย์ทิเบตองค์แรกมีพระนามว่า “นยาตรีเชนโป” ในปี ค.ศ. 1720 จีนเริ่มแผ่อำนาจเข้ามาทิเบต และในปลายศตวรรษที่ 19 อังกฤษเริ่มเข้าแทรกแซงทิเบตรวมถึงรัสเซีย จนจีนมีการปฏิวัติวุ่นวายและเมื่อจีนสามารถตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ในปี ค.ศ. 1949 ในปีถัดไปจีนก็บุกทิเบตทันที หลายปีผ่านมาทางการจีนยอมคืนเสรีภาพให้ชาวทิเบตในระดับหนึ่ง ชาวทิเบตยังคงก่อการประท้วงเรื่อยมา แต่ทางการจีนก็ปราบปรามอย่างหนักทุกครั้ง
เกร็ดความรู้
ชนชาติทิเบต เขตปกครองตนเองทิเบต เป็นเขตที่มีชาวทิเบตอาศัยอยู่ร้อยละ 45 ของประชากรชนชาติทิเบตทั้งหมดในจีน เขตปกครองตนเองทิเบตยังมีชนชาติอื่น ๆ กว่า 10 ชนชาติอาศัยอยู่ด้วยกัน เช่น ชนชาติฮั่น ชนชาติหุย ชนชาติเหมินปา ชนชาติลั่วปา ชนชาตินาซี ชนชาตินู่ และชนชาติดูหลง เป็นต้น ชาวทิเบตนับถือศาสนาพุทธนิกายทิเบต มีนิสัยร่าเริง ชอบร้องเพลงและเต้นรำ เสื้อผ้าชุดประจำชนชาติทิเบต ท่อนบนใส่เสื้อแขนยาวที่ทำด้วยผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย ผู้ชายจะใส่เสื้อคลุมยาวตัวกว้างไว้ข้างนอก ส่วนผู้หญิงใส่เสื้อคลุมยาวที่ไม่มีแขนและใส่สายคาดเอว ผู้หญิงแต่งงานแล้วจะใส่ผ้าคลุมผืนยาวที่มีสีสันเพิ่มในด้านหน้า ผู้ชายและผู้หญิงทิเบตชอบไว้หางเปีย อาหารหลักของชาวทิเบตคือ “จันบา” ทำด้วยข้าวสาลีบนที่ราบสูงและถั่วลันเตา ดื่มชาเนย น้ำชาใส่นมและเหล้าที่ทำด้วยข้าวสาลีบนที่ราบสูง ชอบทานเนื้อวัวและเนื้อแพะ ในสมัยโบราณผู้ที่อาศัยอยู่ที่ราบสูงทิเบตเมื่อตายลงมักนิยมฝังด้วยดิน แต่ปัจจุบัน ชาวทิเบตนิยมฝังโดยท้องฟ้า เผาศพหรือฝังศพในน้ำ (ข้อมูล China ABC / 31 มีนาคม 2550 16.00 น.)

สภาพพื้นที่ ถ่ายทางอากาศ

สภาพพื้นที่ ถ่ายทางอากาศ

เมืองลาซา
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองลาซา
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองลาซา
วัดโปตาลากง หรือ พระราชวังโปตาลากง เป็นสถานที่เลื่องชื่อที่สุดของโลก สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 13 มีเนื้อที่ 120,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนยอดเขาแดง (มาร์โปรี) เป็นอาคาร 13 ชั้น มีห้อง 1,000 ห้อง สูง 1,017 เมตร สร้างโดยกษัตริย์ซงเซินกัมโปใน ค.ศ. 7 สร้างขึ้นไว้สำหรับพระมเหสี 2 องค์ที่เป็นชาวจีนและชาวเนปาล ต่อมาใช้เป็นสถานศึกษาพระธรรม มีพระลามะเป็นผู้ปกครอง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนสีขาว เขตสังฆาวาส ใช้เป็นที่พำนักของสงค์ ส่วนสีแดง เป็นส่วนพุทธาวาส ประกอบด้วยสถูปทองคำและของมีค่าต่าง ๆ ส่วนสุดท้ายคือ ส่วนสีเหลือง จะเป็นตัวเชื่อมกลาง
อารามเซรา ซึ่งตั้งอยู่บนเขาตาติปู สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1419 โดยพระนิกายหมวกเหลือง ลูกศิษย์ของพระสังกัปปะ วัดเซราเคยมีพระจำพรรษาอยู่ถึง 5,000 รูป ปัจจุบันวัดนี้มีพระจำพรรษาอยู่ราว 300 รูป ยังมีสีสันและจิตวิญญาณของทิเบตอย่างสมบูรณ์ ที่นี่เคยใช้เป็นที่ฝังศพบนฟ้าของชาวทิเบต (เคยมีการแพร่ภาพพิธีนี้ออกอากาศในยุโรป จนรัฐบาลจีนสั่งห้ามมิให้คนภายนอกเข้าไปในสถานที่ทำพิธีหลังวัดโดยเด็ดขาด)
วัดต้าเจา หรือ วัดโจคัง วัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในลาซา สร้างขึ้นใน ค ศ. 7 พร้อมพระราชวังโปตาลากง โดยกษัตริย์ซงเซินกัมโป กษัตริย์องค์แรกที่รับศาสนาพุทธเข้ามา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหุ้มทองคำประดับด้วยอัญมณีมีค่า ที่องค์หญิงเหวินเฉิงแห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นมเหสีชาวจีนนำเข้ามา ชาวทิเบตเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “โจโว” และในปี ค.ศ. 1961 ได้สงวนไว้เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ในอดีตวัดนี้เป็นที่อยู่ของดาไลลามะและปันเชนลามะ ด้านหลังวัดโจคังจะมองเห็นวังโปตาลาและเห็นถนนบาร์ฆอร์ ซึ่งเป็นเส้นทางประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
ช้อปปิ้งของฝากชมสินค้าพื้นเมืองได้ที่ถนนแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นตลาดทิเบตที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซาลา มีความยาว 800 เมตร เลือกซื้อสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ ซึ่งจะมีพ่อค้า แม่ค้าตั้งแผงวางขายสินค้าสารพันมากมายตลอด 2 ข้างทาง และมีพระธุดงค์ที่นั่งสมาธิอยู่ริมทาง ซึ่งจะสวดมนต์ให้พรหากได้รับการบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา
เกร็ดความรู้
การกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ เป็นลักษณะการกราบของชาวพุทธทิเบต เป็นท่ากราบที่ต้องนอนราบไปทั้งตัว โดยจะให้ส่วนสำคัญของร่างกาย 8 จุด แตะที่พื้น อันได้แก่ หน้าผาก 1 ส่วน | มือทั้ง 2 ข้าง | เข่าทั้ง 2 ข้าง | เท้าทั้ง 2 ข้าง |ลำตัว 1 ส่วน - รวมเป็น 8 จุด

วังโปตาลา

วัดโคจัง
ทะเลสาบน่ามู่ชั่ว , ทะเลสาบยามดรก YAMDROK LAKE
ทะเลสาบน่ามู่ชั่ว (นัมโซะ NUMTSO LAKE-220 กม. จากลาซา) น่ามู่ชั่วมีความหมายว่าทะเลสาบสวรรค์ ที่นี่เปรียบดั่งอัญมณีสีฟ้าแห่งที่ราบสูงฉางถัง น่ามู่ชั่วเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุด (4,718 เมตรจากระดับน้ำทะเล) และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของจีน (กว้าง 30 กม. ยาว 70 กม.) โดยมีเทือกเขาถังกู่ลา (NYENCHEN TANGULHA) สูง 7,117 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตั้งตระหง่านสูงใหญ่เป็นฉากหลัง ทะเลสาบน่ามู่ชั่วเป็นหนึ่งในสี่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ในทิเบต คนทิเบตเชื่อว่าภูเขาทุกลูกมีเทพเจ้าสถิตอยู่ และทะเลสาบทุกแห่งเป็นที่อยู่ของมังกร ทะเลสาบน่ามู่ชั่วยังเป็นที่สถิตของเทพผู้พิทักษ์แกะ ทุกปีตามปฏิทินท้องถิ่น ชาวทิเบตนับแสนจะมาไหว้บวงสรวงเทพเจ้าที่น่ามู่ชั่ว ในฤดูร้อนราวเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ทุ่งหญ้าในที่ราบสูงฉางถังจะเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากสี สัตว์ป่า เช่น จามรี และแพะภูเขา จะออกหากินเล็มหญ้า ฝูงนกหนีหนาวหลากชนิดจะบินมาหากินที่ทะเลสาบน่ามู่ชั่วเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
ทะเลสาบหยางจงยงหู (ทะเลสาบยามดรก YAMDROK LAKE) เดินทางไต่ภูเขาสูงข้ามขอบฟ้าสู่ที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่ ห่างจากลาซาไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 100 กม. ระหว่างทางมีวิวทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดขอบฟ้ามีภูเขาหิมะเรียงรายสลับเป็นชั้นสวยงาม หยางจงยงหู เป็น 1 ใน 4 ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีสีเทอร์คอยส์ ใสเรียบดังกระจก ทุก ๆ ปีจะมีคนนับแสนเดินทางมาประกอบพิธีล้างบาป เมื่อท่านได้มาเยือนทะเลสาบแห่งนี้จะรู้สึกเหมือนฟากฟ้าอยู่แค่เอื้อมมือถึง เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ภูเขา ที่ราบ ทุ่งหญ้า ฝูงแกะ ฟาร์มวัว พันธุ์ไม้ป่าหลากสีสัน
เกร็ดความรู้
Namtso Lake (ทะเลสาบสวรรค์น่ามู่ชั่ว) เกิดในยุค Paleogene เป็นผลของการเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลกหิมาลัย ทะเลสาบอยู่ที่ระดับความสูง 4,718 เมตร (15,479 ฟุต) และมีเนื้อที่ 1,920 ตารางกิโลเมตร (740 ตารางไมล์) ทะเลสาบนี้เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองตนเองทิเบต แต่ไม่ใช่ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ฤดูหนาว ในเดือนมกราคม ทะเลสาบแห่งนี้อากาศจะหนาวจัด จะมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง ติดลบ 30 องศาเซลเซียส Paleogene ยุคพาลีโอจีน เป็นยุคหนึ่งทางธรณีกาลของโลก อยู่ระหว่าง ประมาณ 23-65 ล้านปีมาแล้ว

น่ามู่ชั่ว

YAM DROK LAKE

YAM DROK LAKE

YAM DROK LAKE
เมืองเจียงซือ (เจียนเซ่ YANTSE) / เมืองเย่คาเจ๋อ (ซิกัตเซ่ SHIGATSE)
เดินทางต่อจากทะเลสาบ YAM DROK ไปอีกประมาณ 100 กม. ถึงเมืองเจียงซือ (เจียนเซ่ GYANTSE) เมืองหนึ่งในทิเบตที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมใหม่
ชมสำนักสงฆ์ป๋ายจีซื่อ (สำนักสงฆ์เพลกอร์ PALKHOR MONASTERY) สำนักสงฆ์ขนาดใหญ่สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14 ถึงต้นศตวรรษที่ 15 เดิมเป็นที่รวมของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธมหายานลัทธิสิบนิกาย แต่ปัจจุบัน เหลือเพียงนิกายหมวกเหลืองจำวัดอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีอุโบสถหลัก 3 ชั้น ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป “พระศรีอริยะเมตไตรย” สูง 8 เมตร ตัวอาคารประดับด้วยภาพทังกาโบราณทำจากผ้าไหม ยังเป็นที่เก็บชุดนักแสดงโอเปร่าทิเบตที่ทำจากผ้าไหมโบราณและผ้าปักในสมัยราชวงศ์หมิง ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปมานดาราเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ฟุต
เดินทางต่อ (ประมาณ 100 กม.) ถึงเมืองเย่คาเจ๋อ (ซิกัตเซ่ SHIGATSE) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของทิเบต และเป็นเมืองหลวงของเขต TSANG เพื่อชม
อารามจาสือหลุนปูซื่อ TASHILHUNPO MONASTERY ที่ประทับขององค์ปานเชนลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณอันดับ 2 ของทิเบต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1447 ในรัชสมัยขององค์ดาไลลามะองค์แรก (ZGYALWA GENDUN DRUP) สี่ส่วนสำคัญของอาราม ส่วนแรก ชมวิหารพระศรีเมตไตรย ประดิษฐานพระศรีอาริยเมตไตรย องค์ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 26.2 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1914 โดยช่างศิลป์กว่า 900 คน ใช้เวลาสร้าง 4 ปี ควบคุมงานโดยปานเชนลามะองค์ที่ 9 องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองแดงหนักและห่อหุ้มด้วยทองคำหนักกว่า 300 กก. พระพักตร์กระจ่างใส แกะสลักอย่างสวยงาม นิ้วพระหัตถ์แต่ละนิ้วยาวมากกว่า 1 เมตร ผ่านชมที่ประทับขององค์ปานเชนลามะ ส่วนที่สอง ชมที่บรรจุพระศพ ของปานเชนลามะองค์ที่ 4 สร้างเป็นสถูปสูง 11 เมตร นับเป็นสถูปเก่าเพียงสถูปเดียวที่รอดพ้นจากการทำลายในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ห้องบรรจุพระศพของปานเชนลามะองค์ที่ 10 (มรณภาพเมื่อปี ค.ศ. 1989) ด้านหน้าสถูปจะแสดงภาพเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ล้อมรอบด้วยสายรุ้ง ที่สร้างจากกล้องคาไลโดสโคป เพดานห้องพระศพตกแต่งด้วยภาพกาลจักรมานดารา ฝาผนังเป็นภาพพระพุทธทำจากทองคำแท้ ส่วนที่สาม วัดเกลซัง ชมโถงชุมนุมหรืออุโบสถกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่ของอารามจาสือหลุนปูซื่อ ส่วนที่สี่ ตาชิลุนโปโกรา เป็นเส้นทางแสวงบุญรอบอาราม มีระยะทาง 3 กม.
เกร็ดความรู้